วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558


กรอบแนวคิดการจัดการความรู้

กระบวนการจัดการเรียนรู้

ิกก์ (Wiig) (1993)



ที่มา ; www.kmpro.org








พรอบสท์ (Probst )รอบ(Raub)และฮาร์ด (Romhardt) (2000) 






ที่มา : www.ksp.or.th

                    ได้เสนอกรอบ ความคิดในการจัดการความรู้วาการจัดการความรู้จะประสบความสําเร็จ ได้  จะต้องมี กระบวนการดังนี้คือ

1) การกำหนดความรู้
2) การจัดหาความรู้
3) การพัฒนาความรู้ขึ้นใหม่
4) การแ่งบันความรู้และกระจายคจายความรู้
5) การนำความรู้ไปช้งาน
6) การจัดเก็บความรู้



เทอร์แบน(Turban) และเฟรนเซล (Frencel) (1992)



            ได้เสนอกรอบความคิดในการ จัดการความรู้เป็นลําดับ ประกอบด้วย

  • การสร้าง (create) 
  • การจัดและเก็บ (capture and store)
  • การนำเสนอความรู้ (refine) 
  • การเผยแพร่องค์ความรู้ (distribute) 
  • การใช้ความรู้ (use) 
  • การประเมิน (monitor)

โนนากะ (Nonaka) และ ทาเคชิ (Takeuchi) 



ที่มา ; http://www.udru.ac.th


          Socialization แลกเปลี่ยนความรู้
          Externalization จดบันทึก
          Combination   สร้างระบบ
          Internalization  วิเคราะห์องค์ความรู้



ไลนอวิซ (Liebowitz ) และ เบคแมน(Beckman)


ที่มา : www.tpa.or.th


         ได้เสนอกรอบความคิดใน การจัดการความรู้ ครอบคลุมวงจรความรู้ไว้อยางละเอียดและครบถ้วน ดังนี้

. Identification : การกำหนดความถนัดเฉพาะ กลยุทธ์ การค้นหาความรู้และ แหล่งความรู้
2. Capture : การเสาะหาหรือดักจับความรู้ที่ต้องการหรือเหมาะสม และเก็บรวบรวมความรู้ 
3. Select : การคัดเลือกหรือการประเมินความรู้ว่ามีคุณค่าเป็นจริง และตรงกับความต้องการรวมทั้งพิจารณาความรู้ที่ขัดแย้งกัน
4. Store : การนําความรู้มาจัดเก็บอยางเป็นระบบ ทั้งนี้จะต้องเปลี่ยนความรู้ฝั่งลึกให้เป็นความรู้ชัดแจ้ง และมีการจัดการจัดเก็บอยางเป็ นระบบในฐานความรู้ขององค์กร 
5. Share : การกระจายความรู้ไปยังผู้ใช้โดยดูจากความสนใจและชนิดของงาน 
6. Apply : การประยุกต์ใช้ความรู้หรือการนําความรู้มาใช้ในการตัดสินใจ การแก้ปัญหา ช่วยในการทํางานหรือการฝึกอบรม 
7. Create : การสร้างความรู้ใหม่ ๆ โดยการวิจัย ทดลอง และการคิดอย่าง สร้างสรรค์ 
8. Shell : การพัฒนาการตลาด ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่เป็ นผลมาจากการใช้ ความรู้



โอเดล (O’Dell) เกรย์ซัน (Grayson) และ เอสเซเดส (Essaides)

ที่มา : http://www.udru.ac.th/


1. การกําหนดสิ่งสําคัญที่ทําให้องค์กรต้องทําให้สําเร็จ ขั้นตอนนี้มีความสําคัญที่สุด ทั้งนี้เพราะจะเป็ นการกาหนดวัตถุประสงค์ของการจัดการความรู้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับ
     1.1 การทําให้ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการเกิดความประทับใจ 
     1.2 การลดระยะเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการใหม่ ๆ 
     1.3 คามเป็นเลิศในการทํางานหรือปฏิบัติการ
2. ปัจจัยที่ทําให้องค์กรสามารถจัดการความรู้ได้อย่างมีประสิทธิผล  องค์กรต้อง สร้างปัจจัยหลัก 4 ด้าน ที่ช่วยให้การจัดการความรู้ดําเนินไปได้อยางราบรื่น คือ
     2.1 วัฒนธรรมองค์กร
     2.2 โครงสร้างขององค์กร
     2.3 เทคโนโลยี
     2.4 การวัดผล
3. กระบวนการเปลี่ยนแปลง เมื่อได้กาหนดวัตถุประสงค์ของการจัดการความรู้ ํ และมีปัจจัยดังกล่าวข้างต้นครบถ้วน องค์กรต้องใช้กระบวนการเปลี่ยนแปลงเพื่อขับเคลื่อน การเปลี่ยนแปลงที่ต้องการซึ่งกระบวนการประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก คือ

     3.1 วางแผน : ทําการประเมินตนเองวาอยู่ที่ไหน เมื่อเทียบกับสิ่งที่อยากเป็น 
     3.2 ออกแบบ : กำหนดหน้าที่บทบาทของผู้ที่มีส่วนร่วม เทคโนโลยีที่จะใช้ กำหนดการวัดผลลัพธ์ที่ต้องการ การจัดทําแผนงาน 
     3.3 ปฏิบัติ : จัดทําโครงการนําร่อง และดําเนินการตามแผน 
     3.4 ขยายผล: นําความสําเร็จจากโครงการนําร่องไปใช้ขยายผลให้ทัวทั้งองค์กร

ทึ่มา : http://www.udru.ac.th/website/attachments/elearning/10/03.pdf


กรอบแนวคิดการจัดการความร้ในบริบทสังคมไทย



ทึ่มา : http://www.udru.ac.th/website/attachments/elearning/10/03.pdf


1. การจัดการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรม    =  ให้มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียว
2. การสื่อสาร   = ผู้ส่ง , ผู้รับ , สาร , ช่องทางการส่งสาร
3. กระบวนการและเครื่องมือ  = เทคโนโลยี
4. การฝึกอบรมและการเรียนรู้
5. การวัดผล
6. การยกย่องชมเชยและให้รางวัล


กรอบแนวคิดการจัดการความร้ ูตัวแบบปลาทู (Tuna Model)

ทึ่มา : http://www.udru.ac.th/website/attachments/elearning/10/03.pdf


            1. ส่วนหัวปลา (Knowledge Vision : KV) คือ ส่วนที่เป็นเป้าหมาย วิสัยทัศน์ หรือทิศทางของการจัดการความรู้ โดยก่อนที่จะทําการจัดการความรู้จะต้องกำหนดวิสัยทัศน์ ว่าจะทําการจัดการความรู้เพื่ออะไร หรือจะมุ่งหน้าไปทางไหน และการกำหนดวิสัยทัศน์ของการจัดการความรู้
            2. ส่วนกลางลําตัว (Knowledge Sharing : KS) คือ ส่วนของการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ (Share and Learn) จัดเป็ นส่วนสําคัญที่สุด และยากที่สุดในกระบวนการจัดการ ความรู้ ทั้ งนี้เพราะจะต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้คนยินยอมพร้อมใจที่จะแบ่งปันความรู้ ซึ่ งกันและกนโดยไม ั ่หวงวิชา
           3. ส่วนที่เป็ นหางปลา (Knowledge Assets : KA) คือ องค์ความรู้ที่องค์กรได้เก็บ สะสมไว้เป็ นคลังความรู้หรือขุมความรู้ ซึ่งมาจาก 2 ส่วนคือ 

              ความรู้ที่ชัดแจ้งหรือความรู้เปิ ดเผย (Eplicit Knowledge) คือ ความรู้เชิง ทฤษฎีที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนอย่างเป็ นรูปธรรม เช่น เอกสาร ตํารา และคู่มือปฏิบัติงาน เป็ นต้น

              ความรู้ซ่อนเร้นหรือความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) คือ ความรู้ที่มีอยูใน ตัวคนไม่ปรากฏชัดเจนเป็นรูปธรรม แต่เป็ นสิ่งที่มีคุณค่ามาก เมื่อบุคคลออกจากองค์กรไป แล้ว และความรู้นั้นยังคงอยู่กับ บองค์กร ไม่สูญหายไปพร้อมกบตัวบุคคล
             

ทึ่มา : http://www.udru.ac.th/website/attachments/elearning/10/03.pdf



วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่ได้รับจากฟังเพื่อนออกมาเล่าประสบการณ์ที่ประทับใจ

บิล ณัฐกานต์

บิลได้ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในช่วงปิดเทอมที่ร้านอาหาร ซึ่งเขาบอกว่าการเป็นพนักงานเสิร์ฟนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องมีความละเอียดรอบคอบ และมีอัธยศรัยที่ดีในการทำงานบริการ และบิลได้บอกว่าถ้าตั้งใจทำงานก็จะได้รับสิ่งตอบแทนก็คือทิป ลูกค้าจะให้แล้วแต่ความพอใจ ซึ่งจะได้มากเหมือนกันเขาดีใจมาก
       สิ่งที่ได้รับจากประสบการณ์ของบิลนั้นก็คือ การตั้งใจทำงานและความอดทน


ที่มา : https://www.facebook.com/photo.php?fbid=830509523694671&set=a.101579829920981.3212.100002068927612&type=1&theater


มาเรียม สุคนธา

          มาเรียมเล่าว่าเมื่อปิดเทอมเธอได้ไปทำงานที่ศูนย์เด็กเล็ก ซึ่งเธอได้ช่วยครูดูแลเด็กเล็ก เธอบอกว่าเด็กซนมากต้องใช้ความอดทนสูง และเธอยังได้ช่วยทำงานเรื่องเอกสารอีกด้วยทำให้ได้รับประสบการณ์จากการทำงานครั้งนี้มาก มาเรียมบอกว่างานที่ทำเหนื่อยแต่ทำให้เธอได้มีความรับผิดชอบมากขึ้น และมีความผูกพันกับเด็กๆ ที่นั้นอีกด้วย
          สิ่งที่ได้รับจากประสบการณ์ของมาเรียมนั้นก็คือ การรับผิดชอบและความอดทน

ที่มา : https://www.facebook.com/photo.php?fbid=830509523694671&set=a.101579829920981.3212.100002068927612&type=1&theater


ล๊ะ ศุภรัตน์
          ล๊ะ ได้เล่าว่าช่วงปิดเทอมนี้ เธอได้ไปขายขนมที่หน้าโรงเรียน ซึ่งเธอบอกว่าเป็นงานที่เหนื่อยเพราะว่าขายดี เวลาช่วงที่เด็กนักเรียนนั้นเลิกเรียนจะมีเด็กมาซื้อขนมกันจำนวนมาก ซึ่งตามธรรมชาติของเด็กแล้วก็ยังไม่รู้เรื่องความระเบียบเท่ารัย ต่างคนต่างจะสั่ง ล๊ะก็จะต้องมีความอดทนสูงและต้องทำตามคิวแต่ละคน
          สิ่งที่ได้รับจากประสบการณ์ของล๊ะนั้นก็คือ ความอดทน

ที่มา : https://www.facebook.com/photo.php?fbid=846463705438883&set=a.124075821011012.31928.100002257837302&type=1&theater

แอม พิชยสุดา
          แอม เล่าว่าช่วงปิดเทอมเธอได้ไปสมัครงานหลายที่ และได้ไปทำงานที่สำเพ็งเมืองนคร เธอบอกว่าเหนื่อยมากๆ เขาใช้งานเธอหนักมากแต่เธอก็อดทนทำไปจนได้เงินเดือน 9,000 บาท แล้วเธอก็ออกจากงานนั้นไปทำงานที่อื่น เป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง เธอบอกว่าเป็นงานที่เธอไม่เคยทำมาก่อน งานนั้นมีความยุ่งยากมาก เธอต้องทำงานเกี่ยวเอกสารและต้องมีการติดต่อสื่อสารกับสถานที่อื่นๆอีก ซึ่งเธอบอกว่าเธอได้ฝึกอะไรหลายเรื่องทั้งเรื่องความรับผิดชอบ ความอดทน และยังได้ทำให้เธอเป็นคนพูดเก่งขึ้น
                    สิ่งที่ได้รับจากประสบการณ์ของแอมนั้นก็คือ การรับผิดชอบ ความอดทน และกล้าแสดงออก

ที่มา:https://www.facebook.com/photo.php?fbid=860618300652332&set=a.129901340390702.17404.100001125107820&type=1&theater

กิ๊บ ชฎาพร
          กิ๊บเล่าเรื่องการดูแลสุภาพของเธอว่า ช่วงปิดเทอมนั้นสุภาพของเธอไม่ค่อยดีเท่ารัย แล้วต่อมาเธอได้หันมารับประทานมังสวิรัต ซึ่งเธอบอกว่าช่วงแรกๆก็ไม่ค่อยคุ้นชินเท่ารัยเพราะต้องรับประทานแต่ผัก แต่เธอก็อดทนและเธอยังบอกว่าต้องออกกำลังกายควบคู่ด้วยคือเต้นแอโรบิค T 25 ช่วยให้เธอมีสุขภาพที่ดีขึ้นและมีหุ่นที่กระชับและสวยงามขึ้น
สิ่งที่ได้รับจากประสบการณ์ของกิ๊บนั้นก็คือ การดูแลสุภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกาย

ที่มา : https://www.facebook.com/photo.php?fbid=860618300652332&set=a.129901340390702.17404.100001125107820&type=1&theater


บิว สุนิษา
          บิว เล่าว่าช่วงปิดเทอมเธอได้ไปหางานทำที่สำนักงานจัดหางาน ซึ่งเขาบอกว่าให้ไปทำที่ปั๊มน้ำมันเซล แล้วเธอก็ไป แต่พอไปถึงปั๊มแห่งนั้นพนักงานที่นั้นกลับบอกว่าเธอมาผิดปั๊ม ตอนนั้นเธอผิดหวังมาก ต่อมาเธอไปทำงานแถวบ้านคือ ขายน้ำ เธอเล่าให้ฟังว่าขายดีมาก แต่ต้องมีความขยันในการขายด้วยจึงจะประสบความสำเร็จ
          สิ่งที่ได้รับจากประสบการณ์ของบิวนั้นก็คือ ความขยันหมั่นเพียร

ที่มา : https://www.facebook.com/photo.php?fbid=846467475414225&set=a.125037127557267.20235.100001529424815&type=1&theater

มุข พัชริดา
          มุข เล่าให้ฟังว่าตอนนั้นเธอได้ไปช่วยป้าของเธอขายรองเท้าที่สมุทรสาคร แถวนั้นมีแรงงานต่างด้าวมากมาก ซึ่งมีลูกค้าที่เป็นคนพม่ามาซื้อร้องเท้ากับเธอ เธอบอกว่าลูกค้าชาวพม่าพูดไม่รู้เรื่องเท่ารัยชอบต่อราคารองเท้ามากเกินไป ซึ่งเธอต้องอดทนมาก แล้วต่อมาวันหนึ่งคนพม่าที่ซื้อรองเท้านั้นได้กลับมาใหม่แล้วบอกว่ารองเท้านั้นขาดแล้วจะขอเปลี่ยนเป็นคู่ใหม่ ซึ่งเธอจำได้ว่าลูกค้าคนนี้ได้ซื้อไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แต่เธอพูดยังไงลูกค้าก็ไม่ยอม จึงต้องยอมเพื่อคู่ใหม่ให้เขาเป็นอันจบเรื่อง
สิ่งที่ได้รับจากประสบการณ์ของมุขนั้นก็คือ ความอดทน

ที่มา : https://www.facebook.com/photo.php?fbid=852181678191881&set=a.130853893658000.31930.100002001717915&type=1&theater


เอื้อง กัลยารัตน์
          เอื้อง ได้เล่าให้ฟังว่าตอนปิดเทอมนั้น เธอได้ไปทำงานที่ ร้านสะดวกซื้อ7-11 ที่ มหาวิยาลัยวลัยลักษณ์ เธอบอกว่าลูกค้าที่นั้นค่อนข้างจะเรื่องมากซึ่งเธอต้องอดทนเป็นอย่างมาก และงานที่ทำนัน้ก็หนักมาก เธอตั้งทำตั้งแต่จัดของ เช็คของ ถูพื้น และต่อมาได้มาเป็นแคชเชียร์ เธอบอกว่าต้องมีความรับผิดชอบสูงในการดูแลเงินในร้าน ซึ่งเธอบอกว่าการทำงานครั้งนี้ได้ประสบการณ์อย่างมาก
สิ่งที่ได้รับจากประสบการณ์ของเอื้องนั้นก็คือ ความอดทน และความรับผิดชอบ




ที่มา : https://www.facebook.com/photo.php?fbid=950467068337736&set=a.122822154435569.30673.100001233555971&type=1&theater






วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การจัดการความรู้ทางการศึกษา

ความรู้ (Knowledge)
        
          ความรู้ เป็นสิ่งที่ได้รับมาจากประสบการณ์ต่างๆ รอบตัวเราในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสารจาก โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ โซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือแม้แต่การพูดคุยกันระหว่างบุคคลก็เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ซึ่งเกิดเป็นความรู้แล้ว
          ความรู้ หากเปรียบเทียบให้ความรู้เป็นมีดด้ามหนึ่งแล้ว ถ้าไม่ได้รับการใช้งานหรือลับมีด มีดด้ามนั้นก็จะขึ้นสนิม อาจจะใช้การไม่ได้ในอนาคตก็เป็นได้ ความรู้ก็เช่นกันมีต้องได้รับการทบทวนอยู่เสมอ ต้องแบ่งบันซึ่งกันและกัน การแชร์ความรู้หนึ่งครั้งเท่ากับการทวนความรู้หนึ่งครั้งจะทำให้ความรู้นั้นคงอยู่กับเราตลอดไป
          ความรู้ คือสิ่งที่อยู่ภายในบุคคล จับต้องไม่ได้จึงต้องมีการวัดประเมินความรู้ ด้วยการทดสอบ ถามตอบ ตัดสินจากผลงาน หรือ การกระทำ
          ความรู้จะมีคุณค่าได้นั้นก็ขึ้นอยู่ว่าผู้ใช้ความรู้จะประยุกต์ใช้ความรู้ได้ถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่ ผู้ให้ความรู้ที่ดีจะต้องคำนึงถึงโอกาสหรือช่วงเวลานั้นด้วย


การจัดการความรู้ (Knowledge Management)

         การจัดการความรู้ เป็นการจัดการความรู้ที่มีนั้นให้เป็นระบบระเบียบเพื่อให้ความรู้อยู่สืบไป โดยการสร้างความรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์เรียนรู้ รวบรวม แล้วนำมาแยกแยะ จัดระเบียบ เพื่อนำไปสู่การประยุกต์ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด


จุดเริ่มต้นของการจัดการความรู้


     


        จากภาพด้านบน อธิบายได้ว่า จุดเริ่มต้นของการจัดการความรู้ เกิดจากการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างความรู้ของเพื่อนกับความรู้ของเรา อาจเกิดจากการพูดคุยกัน แล้วเกิดเป็นความรู้รวมระหว่างความรู้ของเราและความรู้ของเพื่อน จึงกลายเป็นความรู้ใหม่ที่ 2 ฝ่ายก็ต่างได้รับความรู้ใหม่ของกันและกัน


ความเป็นมาของการจัดการความรู้

        ความเป็นมาของการจัดการความรู้ เริ่มต้นจาก Ikujiro Nonaka เป็นผู้คิดริเริ่มในการเห็นความสำคัญของการจัดการความรู้ และให้ตระหนักเห็นคุณค่าของความรู้เพื่อให้ความรู้เป็นสิ่งที่สืบเนื่องต่อไป ท่านยังสร้าแบบจำลองขึ้นมา คือ SECI Model


 Ikujiro Nonaka
ที่มา: www.l3nr.org


วิวัฒนาการของการจัดการความรู้

  • Pre-SECI -ค.ศ. 1978 เป็นยุคของการเริ่มต้นในการจัดการความรู้ เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนการใช้ความรู้เพื่อการตัดสินใจ
  • SECI - 1995 เป็นยุคที่มีการจำแนกประเภทของความรู้ออกเป็น 2 ประเภท คือ Explicit Knowledge และ Tacit Knowledge
    • Post-SECI- 2001 มีการอธิบายให้เห็นว่าการจัดการความรู้เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน มีหลากหลายมิติ ซึ่งจับต้องไม่ได้ จึงต้องใช้เทคโนโลยีในการเป็นเครื่องจัดการความรู้
            
    ความหลากหลายของการจัดความรู้ในหลายมุมมอง
    • การใช้เทคโนโลยีในการช่วยในการรวบรวม การจัดระบบ การจัดเก็บ ทำให้ง่ายต่อการเข้าถึงข้อมูลความรู้ได้อย่างรวดเร็ว
    • การจัดการความรู้เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กัน
    • การจัดการความรู้ต้องอาศัยการตีความที่ดีและสามรถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์
    • เมื่อมีการจัดการความรู้ที่ดีแล้วจะส่งผลดีต่อองค์กรด้วย


    ประเภทของความรู้

             Explicit Knowledge หมายถึง ความรู้แบบปรากฏเห็นชัด แจ่มแจ้ง  เป็นระบบ สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นเอกสาร หนังสือ สื่อต่างๆ


    ที่มา : www.physics.sci.ku.ac.th


                Tacit Knowledge หมายถึง  ความรู้ที่ไม่ปรากฏให้เห็นชัด ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวของบุคคล ถ่ายทอดออกมายาก ความรู้อาจเกิดจากประสบการณ์ การเรียนรู้ พรสวรรค์ (Talent)


    ที่มา : www.enterrasolutions.com


    ความรู้เปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็ง

    ที่มา :www.vettech.ku.ac.th

            จากภาพด้านบนอธิบายได้ว่า ความรู้ที่มองเห็น   Explicit Knowledge  เป็นความรู้ที่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ซึ่งมรเพียงน้อง ประมาณ 30% เท่านั้น ส่วนความรู้ที่มองไม่เห็น  Tacit Knowledge
    เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ซึ่งมีอยู่มาก ประมาณ 70%


    การเปลี่ยนแปลงสถานะของการเรียนรู้ SECI MODEL




    ที่มา : http://52010911288.blogspot.com/


             จากภาพด้านบนอธิบายได้ว่า


    • Socialization เป็นการการแบ่งปันและสร้างความรู้ โดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ด้วยการพูดคุย ประชุม
    • Externalization  เป็นการสร้างความรู้โดยการแปลความหรือถอดความออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร ด้วยการจดบันทึก
    • Combination เป็นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการจดบันทึกอย่าเป็นระบบ
    • Internalization เป็นการนำความรู้ที่ได้ทำการสั่งสมมาตั้งแต่ต้น มาประยุต์ใช้


      ความรู้เป็นของใคร


            ความรู้ที่สำคัญที่สุดคือ ความรู้ของบุคคล เพราะเมื่อทุกคนมีความรู้แล้วก็จะส่งผลให้องค์กรดีขึ้นตามด้วย ที่สำคัญยังทำให้พัฒนาประเทศให้เป็นประเทศที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วย


    ระดับของความรู้

    ระดับที่ 1 : Know-what รู้ว่าคืออะไร
                     เป็นความรู้เชิงรับรู้
    ระดับที่ 2 : Know-how รู้วิธีการ
                     เป็นความสามารถในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้
    ระดับที่ 3 : Know-why รู้เหตุผล
                      เป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและมีความสลับซับซ้อน สามาารถรู้ว่าทำเพื่ออะไร
    ระดับที่ 4 : Care-why ใส่ใจกับเหตุผลและแก้ปัญหา
                      เป็นความรู้ที่มาจากความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง


    กระบวนการพัฒนาความรู้
    ที่มา  : www.slideshare.net

    • ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริง ข้อมูลดิบ หรือตัวเลขต่างๆที่ยังไม่ได้ผ่านการแปลความ
    • สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่ผ่านกระบวนการประมวลผล เพื่อมาใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการและตัดสินใจ
    • ความรู้ หมายถึง สารสนเทศที่ผ่านกระบวนการคิด เปรียบเทียบ เชื่อมโยงกับความรู้อื่นจนเกิดเป็นความเข้าใจและนำไปใช้ประโยชน์
    • ปัญญา หมายถึง ความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน

    ที่มา; http://www.slideshare.net