วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558


กรอบแนวคิดการจัดการความรู้

กระบวนการจัดการเรียนรู้

ิกก์ (Wiig) (1993)



ที่มา ; www.kmpro.org








พรอบสท์ (Probst )รอบ(Raub)และฮาร์ด (Romhardt) (2000) 






ที่มา : www.ksp.or.th

                    ได้เสนอกรอบ ความคิดในการจัดการความรู้วาการจัดการความรู้จะประสบความสําเร็จ ได้  จะต้องมี กระบวนการดังนี้คือ

1) การกำหนดความรู้
2) การจัดหาความรู้
3) การพัฒนาความรู้ขึ้นใหม่
4) การแ่งบันความรู้และกระจายคจายความรู้
5) การนำความรู้ไปช้งาน
6) การจัดเก็บความรู้



เทอร์แบน(Turban) และเฟรนเซล (Frencel) (1992)



            ได้เสนอกรอบความคิดในการ จัดการความรู้เป็นลําดับ ประกอบด้วย

  • การสร้าง (create) 
  • การจัดและเก็บ (capture and store)
  • การนำเสนอความรู้ (refine) 
  • การเผยแพร่องค์ความรู้ (distribute) 
  • การใช้ความรู้ (use) 
  • การประเมิน (monitor)

โนนากะ (Nonaka) และ ทาเคชิ (Takeuchi) 



ที่มา ; http://www.udru.ac.th


          Socialization แลกเปลี่ยนความรู้
          Externalization จดบันทึก
          Combination   สร้างระบบ
          Internalization  วิเคราะห์องค์ความรู้



ไลนอวิซ (Liebowitz ) และ เบคแมน(Beckman)


ที่มา : www.tpa.or.th


         ได้เสนอกรอบความคิดใน การจัดการความรู้ ครอบคลุมวงจรความรู้ไว้อยางละเอียดและครบถ้วน ดังนี้

. Identification : การกำหนดความถนัดเฉพาะ กลยุทธ์ การค้นหาความรู้และ แหล่งความรู้
2. Capture : การเสาะหาหรือดักจับความรู้ที่ต้องการหรือเหมาะสม และเก็บรวบรวมความรู้ 
3. Select : การคัดเลือกหรือการประเมินความรู้ว่ามีคุณค่าเป็นจริง และตรงกับความต้องการรวมทั้งพิจารณาความรู้ที่ขัดแย้งกัน
4. Store : การนําความรู้มาจัดเก็บอยางเป็นระบบ ทั้งนี้จะต้องเปลี่ยนความรู้ฝั่งลึกให้เป็นความรู้ชัดแจ้ง และมีการจัดการจัดเก็บอยางเป็ นระบบในฐานความรู้ขององค์กร 
5. Share : การกระจายความรู้ไปยังผู้ใช้โดยดูจากความสนใจและชนิดของงาน 
6. Apply : การประยุกต์ใช้ความรู้หรือการนําความรู้มาใช้ในการตัดสินใจ การแก้ปัญหา ช่วยในการทํางานหรือการฝึกอบรม 
7. Create : การสร้างความรู้ใหม่ ๆ โดยการวิจัย ทดลอง และการคิดอย่าง สร้างสรรค์ 
8. Shell : การพัฒนาการตลาด ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่เป็ นผลมาจากการใช้ ความรู้



โอเดล (O’Dell) เกรย์ซัน (Grayson) และ เอสเซเดส (Essaides)

ที่มา : http://www.udru.ac.th/


1. การกําหนดสิ่งสําคัญที่ทําให้องค์กรต้องทําให้สําเร็จ ขั้นตอนนี้มีความสําคัญที่สุด ทั้งนี้เพราะจะเป็ นการกาหนดวัตถุประสงค์ของการจัดการความรู้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับ
     1.1 การทําให้ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการเกิดความประทับใจ 
     1.2 การลดระยะเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการใหม่ ๆ 
     1.3 คามเป็นเลิศในการทํางานหรือปฏิบัติการ
2. ปัจจัยที่ทําให้องค์กรสามารถจัดการความรู้ได้อย่างมีประสิทธิผล  องค์กรต้อง สร้างปัจจัยหลัก 4 ด้าน ที่ช่วยให้การจัดการความรู้ดําเนินไปได้อยางราบรื่น คือ
     2.1 วัฒนธรรมองค์กร
     2.2 โครงสร้างขององค์กร
     2.3 เทคโนโลยี
     2.4 การวัดผล
3. กระบวนการเปลี่ยนแปลง เมื่อได้กาหนดวัตถุประสงค์ของการจัดการความรู้ ํ และมีปัจจัยดังกล่าวข้างต้นครบถ้วน องค์กรต้องใช้กระบวนการเปลี่ยนแปลงเพื่อขับเคลื่อน การเปลี่ยนแปลงที่ต้องการซึ่งกระบวนการประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก คือ

     3.1 วางแผน : ทําการประเมินตนเองวาอยู่ที่ไหน เมื่อเทียบกับสิ่งที่อยากเป็น 
     3.2 ออกแบบ : กำหนดหน้าที่บทบาทของผู้ที่มีส่วนร่วม เทคโนโลยีที่จะใช้ กำหนดการวัดผลลัพธ์ที่ต้องการ การจัดทําแผนงาน 
     3.3 ปฏิบัติ : จัดทําโครงการนําร่อง และดําเนินการตามแผน 
     3.4 ขยายผล: นําความสําเร็จจากโครงการนําร่องไปใช้ขยายผลให้ทัวทั้งองค์กร

ทึ่มา : http://www.udru.ac.th/website/attachments/elearning/10/03.pdf


กรอบแนวคิดการจัดการความร้ในบริบทสังคมไทย



ทึ่มา : http://www.udru.ac.th/website/attachments/elearning/10/03.pdf


1. การจัดการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรม    =  ให้มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียว
2. การสื่อสาร   = ผู้ส่ง , ผู้รับ , สาร , ช่องทางการส่งสาร
3. กระบวนการและเครื่องมือ  = เทคโนโลยี
4. การฝึกอบรมและการเรียนรู้
5. การวัดผล
6. การยกย่องชมเชยและให้รางวัล


กรอบแนวคิดการจัดการความร้ ูตัวแบบปลาทู (Tuna Model)

ทึ่มา : http://www.udru.ac.th/website/attachments/elearning/10/03.pdf


            1. ส่วนหัวปลา (Knowledge Vision : KV) คือ ส่วนที่เป็นเป้าหมาย วิสัยทัศน์ หรือทิศทางของการจัดการความรู้ โดยก่อนที่จะทําการจัดการความรู้จะต้องกำหนดวิสัยทัศน์ ว่าจะทําการจัดการความรู้เพื่ออะไร หรือจะมุ่งหน้าไปทางไหน และการกำหนดวิสัยทัศน์ของการจัดการความรู้
            2. ส่วนกลางลําตัว (Knowledge Sharing : KS) คือ ส่วนของการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ (Share and Learn) จัดเป็ นส่วนสําคัญที่สุด และยากที่สุดในกระบวนการจัดการ ความรู้ ทั้ งนี้เพราะจะต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้คนยินยอมพร้อมใจที่จะแบ่งปันความรู้ ซึ่ งกันและกนโดยไม ั ่หวงวิชา
           3. ส่วนที่เป็ นหางปลา (Knowledge Assets : KA) คือ องค์ความรู้ที่องค์กรได้เก็บ สะสมไว้เป็ นคลังความรู้หรือขุมความรู้ ซึ่งมาจาก 2 ส่วนคือ 

              ความรู้ที่ชัดแจ้งหรือความรู้เปิ ดเผย (Eplicit Knowledge) คือ ความรู้เชิง ทฤษฎีที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนอย่างเป็ นรูปธรรม เช่น เอกสาร ตํารา และคู่มือปฏิบัติงาน เป็ นต้น

              ความรู้ซ่อนเร้นหรือความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) คือ ความรู้ที่มีอยูใน ตัวคนไม่ปรากฏชัดเจนเป็นรูปธรรม แต่เป็ นสิ่งที่มีคุณค่ามาก เมื่อบุคคลออกจากองค์กรไป แล้ว และความรู้นั้นยังคงอยู่กับ บองค์กร ไม่สูญหายไปพร้อมกบตัวบุคคล
             

ทึ่มา : http://www.udru.ac.th/website/attachments/elearning/10/03.pdf



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น