กรอบแนวคิดการจัดการความรู้
กระบวนการจัดการเรียนรู้
วิกก์ (Wiig) (1993)
ที่มา ; www.kmpro.org
พรอบสท์ (Probst )รอบ(Raub)และฮาร์ด (Romhardt) (2000)
ที่มา : www.ksp.or.th
ได้เสนอกรอบ
ความคิดในการจัดการความรู้วาการจัดการความรู้จะประสบความสําเร็จ ได้ จะต้องมี
กระบวนการดังนี้คือ
1) การกำหนดความรู้
2) การจัดหาความรู้
3) การพัฒนาความรู้ขึ้นใหม่
4) การแ่งบันความรู้และกระจายคจายความรู้
5) การนำความรู้ไปช้งาน
6) การจัดเก็บความรู้
เทอร์แบน(Turban) และเฟรนเซล (Frencel) (1992)
ได้เสนอกรอบความคิดในการ
จัดการความรู้เป็นลําดับ ประกอบด้วย
- การสร้าง (create)
- การจัดและเก็บ (capture and store)
- การนำเสนอความรู้ (refine)
- การเผยแพร่องค์ความรู้ (distribute)
- การใช้ความรู้ (use)
- การประเมิน (monitor)
โนนากะ (Nonaka) และ ทาเคชิ (Takeuchi)
ที่มา ; http://www.udru.ac.th
Socialization แลกเปลี่ยนความรู้
Externalization จดบันทึก
Combination สร้างระบบ
Internalization วิเคราะห์องค์ความรู้
ไลนอวิซ (Liebowitz ) และ เบคแมน(Beckman)
ที่มา : www.tpa.or.th
ได้เสนอกรอบความคิดใน
การจัดการความรู้ ครอบคลุมวงจรความรู้ไว้อยางละเอียดและครบถ้วน ดังนี้
. Identification : การกำหนดความถนัดเฉพาะ กลยุทธ์ การค้นหาความรู้และ
แหล่งความรู้
2. Capture : การเสาะหาหรือดักจับความรู้ที่ต้องการหรือเหมาะสม และเก็บรวบรวมความรู้
3. Select : การคัดเลือกหรือการประเมินความรู้ว่ามีคุณค่าเป็นจริง และตรงกับความต้องการรวมทั้งพิจารณาความรู้ที่ขัดแย้งกัน
4. Store : การนําความรู้มาจัดเก็บอยางเป็นระบบ ทั้งนี้จะต้องเปลี่ยนความรู้ฝั่งลึกให้เป็นความรู้ชัดแจ้ง และมีการจัดการจัดเก็บอยางเป็ นระบบในฐานความรู้ขององค์กร
5. Share : การกระจายความรู้ไปยังผู้ใช้โดยดูจากความสนใจและชนิดของงาน
6. Apply : การประยุกต์ใช้ความรู้หรือการนําความรู้มาใช้ในการตัดสินใจ การแก้ปัญหา ช่วยในการทํางานหรือการฝึกอบรม
7. Create : การสร้างความรู้ใหม่ ๆ โดยการวิจัย ทดลอง และการคิดอย่าง
สร้างสรรค์
8. Shell : การพัฒนาการตลาด ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่
ๆ ที่เป็ นผลมาจากการใช้
ความรู้
โอเดล (O’Dell) เกรย์ซัน (Grayson) และ เอสเซเดส (Essaides)
ที่มา : http://www.udru.ac.th/
1. การกําหนดสิ่งสําคัญที่ทําให้องค์กรต้องทําให้สําเร็จ ขั้นตอนนี้มีความสําคัญที่สุด
ทั้งนี้เพราะจะเป็ นการกาหนดวัตถุประสงค์ของการจัดการความรู้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับ
1.1 การทําให้ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการเกิดความประทับใจ
1.2 การลดระยะเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการใหม่
ๆ
1.3 คามเป็นเลิศในการทํางานหรือปฏิบัติการ
2. ปัจจัยที่ทําให้องค์กรสามารถจัดการความรู้ได้อย่างมีประสิทธิผล องค์กรต้อง
สร้างปัจจัยหลัก 4 ด้าน ที่ช่วยให้การจัดการความรู้ดําเนินไปได้อยางราบรื่น คือ
2.1 วัฒนธรรมองค์กร
2.2 โครงสร้างขององค์กร
2.3 เทคโนโลยี
2.4 การวัดผล
3. กระบวนการเปลี่ยนแปลง เมื่อได้กาหนดวัตถุประสงค์ของการจัดการความรู้ ํ
และมีปัจจัยดังกล่าวข้างต้นครบถ้วน องค์กรต้องใช้กระบวนการเปลี่ยนแปลงเพื่อขับเคลื่อน
การเปลี่ยนแปลงที่ต้องการซึ่งกระบวนการประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก คือ
3.1 วางแผน : ทําการประเมินตนเองวาอยู่ที่ไหน เมื่อเทียบกับสิ่งที่อยากเป็น
3.2 ออกแบบ : กำหนดหน้าที่บทบาทของผู้ที่มีส่วนร่วม เทคโนโลยีที่จะใช้
กำหนดการวัดผลลัพธ์ที่ต้องการ การจัดทําแผนงาน
3.3 ปฏิบัติ : จัดทําโครงการนําร่อง และดําเนินการตามแผน
3.4 ขยายผล: นําความสําเร็จจากโครงการนําร่องไปใช้ขยายผลให้ทัวทั้งองค์กร
ทึ่มา : http://www.udru.ac.th/website/attachments/elearning/10/03.pdf
กรอบแนวคิดการจัดการความร้ในบริบทสังคมไทย
ทึ่มา : http://www.udru.ac.th/website/attachments/elearning/10/03.pdf
1. การจัดการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรม = ให้มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียว
2. การสื่อสาร = ผู้ส่ง , ผู้รับ , สาร , ช่องทางการส่งสาร
3. กระบวนการและเครื่องมือ = เทคโนโลยี
4. การฝึกอบรมและการเรียนรู้
5. การวัดผล
6. การยกย่องชมเชยและให้รางวัล
กรอบแนวคิดการจัดการความร้ ูตัวแบบปลาทู (Tuna Model)
ทึ่มา : http://www.udru.ac.th/website/attachments/elearning/10/03.pdf
1. ส่วนหัวปลา (Knowledge Vision : KV) คือ ส่วนที่เป็นเป้าหมาย วิสัยทัศน์
หรือทิศทางของการจัดการความรู้ โดยก่อนที่จะทําการจัดการความรู้จะต้องกำหนดวิสัยทัศน์ ว่าจะทําการจัดการความรู้เพื่ออะไร หรือจะมุ่งหน้าไปทางไหน และการกำหนดวิสัยทัศน์ของการจัดการความรู้
2. ส่วนกลางลําตัว (Knowledge Sharing : KS) คือ ส่วนของการแลกเปลี่ยน
เรียนรู้ (Share and Learn) จัดเป็ นส่วนสําคัญที่สุด และยากที่สุดในกระบวนการจัดการ
ความรู้ ทั้
งนี้เพราะจะต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้คนยินยอมพร้อมใจที่จะแบ่งปันความรู้
ซึ่ งกันและกนโดยไม ั ่หวงวิชา
3. ส่วนที่เป็ นหางปลา (Knowledge Assets : KA) คือ องค์ความรู้ที่องค์กรได้เก็บ
สะสมไว้เป็ นคลังความรู้หรือขุมความรู้ ซึ่งมาจาก 2 ส่วนคือ
ความรู้ที่ชัดแจ้งหรือความรู้เปิ ดเผย (Eplicit Knowledge) คือ ความรู้เชิง
ทฤษฎีที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนอย่างเป็ นรูปธรรม เช่น เอกสาร ตํารา และคู่มือปฏิบัติงาน
เป็ นต้น
ความรู้ซ่อนเร้นหรือความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) คือ ความรู้ที่มีอยูใน ตัวคนไม่ปรากฏชัดเจนเป็นรูปธรรม แต่เป็ นสิ่งที่มีคุณค่ามาก เมื่อบุคคลออกจากองค์กรไป
แล้ว และความรู้นั้นยังคงอยู่กับ บองค์กร ไม่สูญหายไปพร้อมกบตัวบุคคล
ทึ่มา : http://www.udru.ac.th/website/attachments/elearning/10/03.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น